เริ่มความตื่นเต้นกันที่ร้านขนมหวานชื่อดังอย่าง After You กับความท้าทายของการนำมะเขือเทศมาเป็นวัตถุดิบหลักของขนมหวาน ซึ่งทางร้านก็ไม่ทำให้แฟนๆ ผิดหวัง เลือกใช้น้ำมะเขือเทศ ๑๐๐% รสชาติเอกลักษณ์ของผลผลิตมะเขือเทศสดๆ ต้นฤดูกาล มาสร้างสรรค์เป็นวัตถุดิบหลักในคากิโกริ เมนูเลื่องชื่อของทางร้าน ได้เมนูมะเขือเทศพริกเกลือคากิโกริ (175 บาท) น้ำแข็งไสเนื้อปุยนุ่มละเอียด กับเนื้อสัมผัสหนุบหนับของมะเขือเทศเชอร์รีอบแห้งที่โรยมาด้านบนอย่างจุใจ มาพร้อมผงพริกเกลือสูตรพิเศษ ให้คุณเลือกโรยเพิ่มรสชาติได้ไม่มีเลี่ยน สามารถไปลิ้มลองรสชาติเมนูนี้ได้แล้วที่ After You ทุกสาขา
After You
โทร. 02-318-4488
เปิดทุกวัน เวลา 10.00-19.30 น.
ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน – 15 ธันวาคม 2564 เท่านั้น
ต่อกันด้วย Audrey Cafe & Bistro ร้านอาหารกึ่งคาเฟ่บรรยากาศอบอุ่น ที่ให้ความสำคัญกับทุกรายละเอียดและบริการสุดประทับใจเพื่อให้ประสบการณ์ที่เหนือกว่าแก่ลูกค้า ทั้งการตกแต่งร้านสไตล์ French Vintage ให้ความรู้สึกราวกับกำลังนั่งอยู่ในบ้านเพื่อนแถบโซนยุโรป โดยเมนูที่ร่วมสร้างสรรค์กับดอยคำในครั้งนี้ คือเมนู Spaghetti Spicy Pink Sauce Serve with Grilled River Prawn (260 บาท) เป็นสปาเก็ตตี้เส้นเหนียวนุ่ม ที่นำไปผัดกับกระเทียมและพริกแห้งจนหอมกรุ่น เข้ากับความเข้มข้นของซอสสไปซีพิงค์ จากน้ำมะเขือเทศ ๙๙% เสิร์ฟพร้อมความหวานเด้งจากกุ้งแม่น้ำตัวโตสุดอลังการ
เพื่อความครบรส ควรสั่งคู่กับเครื่องดื่ม Tomato Splash (85 บาท) เครื่องดื่มซาบซ่า หวานอมเปรี้ยว ที่มีส่วนผสมจากน้ำมะเขือเทศ ๙๙ % แทรกด้วยความหอมสดชื่นจากน้ำส้มยูซุ ตัดรสนุ่มด้วยกะทิที่ราดมาด้านบน และความหวานฉ่ำจากผลเชอร์รีสีแดงสด
Audrey Café & Bistro ทองหล่อ ซอย 11
โทร. 02-712-6667
เปิดทุกวัน เวลา 11.00-22.00 น.
ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2564 – 31 มกราคม 2565 เท่านั้น
ดื่มด่ำความสุนทรีย์แห่งชากันต่อ ที่ร้านชานมไข่มุกคุณภาพพรีเมียมอย่าง Brown Café ร้านยอดฮิตจากย่านนิมมาน เมืองเชียงใหม่ ที่โดดเด่นด้วยเอกลักษณ์ด้านรสชาติและความหอมของใบชาจากไต้หวันผสมผสานกับใบชาคุณภาพของไทย ตกแต่งร้านในบรรยากาศร้านแบบ Modern Japanese ถูกใจทั้งวัยรุ่นและวัยทำงาน
เมื่อมะเขือเทศเดินทางมาจับคู่กับชาผลไม้ จึงเกิดเป็นเมนูสุดสร้างสรรค์อย่าง Tomato Strawberry Tea with Tomato Bubble (75 บาท) ดื่มความหอมหวานจากชาสตรอว์เบอร์รี ที่เข้ากันกับรสเปรี้ยวนิดๆ ของน้ำมะเขือเทศ ๙๙% เพิ่มอรรถรสด้วยมะเขือเทศเชอร์รีอบแห้งที่ใส่มาด้านบน และเคี้ยวเพลินกับไข่มุกมะเขือเทศไม่เหมือนใคร
อีกเมนูสายชานมที่ไม่ลองไม่ได้ กับ Milk Tea Tomato Panna Cotta (85 บาท) ฉีกกฏเมนูชานมเดิมๆ ด้วยแพนนาคอตตาเนื้อสัมผัสเนียนนุ่ม รสเปรี้ยวอมหวานที่ทำจากน้ำมะเขือเทศ ๙๙% ใส่มาเป็นเลเยอร์ด้านล่าง ให้ดื่มขึ้นมาพร้อมกับชานมรสเข้ม ซิกเนเจอร์ประจำร้าน รวมรสชาติของความละมุนและหนักแน่นไว้ในแก้วเดียว
จุใจกันต่อกับ Brown Sandwich ที่มีชื่อว่า Tomato Mayon (65 บาท) เป็นขนมปังหอมนุ่ม สลับไส้ด้วยแฮมโบโลน่าและหมูหยอง ราด Mayo Sauce สูตรพิเศษจากส่วนผสมของน้ำมะเขือเทศ ๙๙% สูตรโซเดียมต่ำ เพิ่มรสหวานอมเปรี้ยวอีกนิดจากมะเขือเทศเชอร์รีอบแห้งที่ใส่มาด้านบน
Brown Café สีลม คอมเพล็กซ์ ชั้น 4
โทร. 098-842-2265
เปิดทุกวัน เวลา 11.00-22.00 น.
ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2564 – 31 มกราคม 2565 เท่านั้น
พามาลิ้มลองเครื่องดื่มจากร้านกาแฟที่โด่งดังเรื่องความใส่ใจในคุณภาพของวัตถุดิบที่สุดอีกแห่งหนึ่งอย่าง Hey! 53 Coffee & Kitchen ให้คุณผ่อนคลายไปกับบรรยากาศสบายๆ ของร้านที่ตกแต่งส่วนใหญ่ด้วยโทนสีขาว ไม้ และกลิ่นกาแฟคั่วหอมอบอวลทั่วร้าน
เปิดความสดชื่นที่แก้วแรกด้วยเมนู Tomato Apple Doikham (120 บาท) เครื่องดื่มที่จะทำให้คุณรู้สึกอารมณ์ดีขึ้นทันทีจากอากาศร้อนๆ ของแดดประเทศไทย ด้วยส่วนผสมของน้ำมะเขือเทศ ๙๙% สูตรโซเดียมต่ำ Raspberry Puree น้ำมะนาว น้ำแอปเปิ้ลแดงและไซรัปกุหลาบ เพิ่มงานตกแต่งด้วย Jelly Lime และมะเขือเทศเชอร์รีอบแห้ง ช่วยเสริมรสชาติให้เครื่องดื่มแก้วนี้ยิ่งมีลูกเล่นน่าสนใจ
ต่อด้วย Tomato Cold Brew Doikham (100 บาท) สำหรับคอกาแฟสกัดเย็นที่ชื่นชอบการผสมผสานรสชาติของผลไม้ เหมาะเป็นเครื่องดื่มสบายๆ ได้ทั้งช่วงเช้าและบ่าย ส่วนผสมหลักทางร้านเลือกใช้น้ำมะเขือเทศผสมน้ำผลไม้รวม ๙๘% ม็อกเทล Raspberry Puree น้ำมะนาว ไซรัปเลมอน Flower Blossom และ Tonic ปิดท้ายด้วยเลมอนเชื่อมเนื้อฉ่ำและกลิ่นหอมสดชื่นจากใบมินต์
Hey! 53 Coffee & Kitchen ถนนพระราม 9 ซอย 53
โทร. 080-274-4736
เปิดทุกวัน เวลา 09.00-21.00 น.
ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2564 – 31 มกราคม 2565 เท่านั้น
แวะไปที่คาเฟ่อาหารเช้าสุดเก๋ที่ซ่อนตัวอยู่ในซอยรางน้ำอย่าง Kay’s Boutique Breakfast คาเฟ่ในบรรยากาศเรียบหรูกับการตกแต่งด้วยหินอ่อนและคุมโทนด้วยสีขาวสะอาดตา ในขณะที่ด้านในของร้าน จะมีมุมสวนดอกไม้ที่ตกแต่งขึ้นเป็นพิเศษ หมุนเวียนรูปแบบและสีสันกันไป ถูกใจสายคาเฟ่ที่ชื่นชอบการถ่ายภาพโดยเฉพาะ
ด้านเมนูแนะนำที่สร้างสรรค์ขึ้นจากลูกหล้าดอยคำในครั้งนี้ เริ่มด้วยเมนู Egg Benny with Tomato Hollandaise (220++ บาท) โดยทางร้านดัดแปลงมาจาก Egg Benedict แต่พิเศษยิ่งกว่า ด้วยการเสิร์ฟมาบนเบคอนกริลชิ้นสวยเนื้อสัมผัสกรุบกรอบ ที่วางบนมัฟฟินโฮมเมดร้อนๆ อีกที แล้วราดด้วยซอส Hollandaise สูตรพิเศษ ส่วนผสมจากซอสมะเขือเทศดอยคำรสเข้มข้น ตัดรสชาติหวานอมเปรี้ยวด้วยมะเขือเทศเชอร์รีอบแห้งที่ใส่มาเป็นเครื่องเคียงในจาน
หรือจะสั่งเมนูสายสวย อย่าง Tomato Berry Smoothie Bowl (170++บาท) เมนูสบายท้องที่ได้จากการนำน้ำมะเขือเทศ ๙๙% มาปั่นผสมกับ Acai กล้วยและเบอร์รีรวม เพิ่มความกรุบกรอบหอมมันพร้อมคุณประโยชน์จากอัลมอนด์ กราโนล่า และรสเปรี้ยวอมหวานจากมะเขือเทศเชอร์รีอบแห้ง
Kay’s Boutique Breakfast 116/55-57 ถนนรางน้ำ แขวงพญาไท (ตรงข้ามโรงแรม K Maison)
โทร. 02-245-1953
เปิดทุกวัน เวลา 06.30-16.00 น.
ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2564 – 31 มกราคม 2565 เท่านั้น
เข้าสู่โหมดคนรักพาสต้าเส้นสด กับร้าน Ñam Ñam Pasta &Tapas พาสต้าโฮมเมดที่ให้คุณได้เห็นกระบวนการทำเส้นกันสดๆ กลางร้าน ยืนยันความอร่อยสดใหม่กันจานต่อจาน ท่ามกลางบรรยากาศอบอุ่นเหมือนคนในครอบครัวทำให้ทาน
เรียกน้ำย่อยด้วย Tapas เมนูของว่างที่มีต้นกำเนิดจากสเปน ในชื่อเมนู Fried Polenta with Tomato Jam and Coppa (220 บาท) Polenta ชิ้นพอดีคำ ทอดจนเหลืองกรอบ ทาสลับชั้นด้วยแยมและซอสสูตรพิเศษที่เชฟใช้ส่วนผสมเป็นน้ำมะเขือเทศ ๑๐๐% และมะเขือเทศเชอร์รีอบแห้ง ได้รสชุ่มฉ่ำเปรี้ยวอมหวาน ตัดด้วยรสเค็ม มัน ของ Coppa Ham เป็นจานทานเล่นที่ลงตัวในทุกคำ
ต่อด้วยจานหลักอย่าง Pasta with Dried Tomato Sauce, Olive and Anchovy with Fish of The Day (310 บาท) ทางร้านใช้สปาเกตตี้เส้นสด คลุกเคล้าด้วยซอสสูตรพิเศษที่ปรุงจากน้ำมะเขือเทศ ๑๐๐% ปั่นรวมกับมะกอกและแองโชวี่ ทำให้ได้รสเปรี้ยวอมหวานผสานความหอมและรสเค็มกลมกล่อมอย่างมีเอกลักษณ์ ทานคู่กับปลาเนื้อขาวที่จี่จนได้ความสุกกำลังดี เมื่อบีบเลมอนเพิ่มลงไป ยิ่งช่วยชูรสชาติให้ส่วนผสมเข้ากันเป็นอย่างดี
Ñam Ñam Pasta &Tapas ซอยศูนย์วิจัย (เพชรบุรี 47 แยก 5)
โทร. 098-520-8026
เปิดทุกวัน (ปิดวันจันทร์) เวลา 11.00-15.00 น. และ 17.00-22.00 น. (ตามเวลาปกติ)
ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2564 – 31 มกราคม 2565 เท่านั้น
อีกหนึ่งร้านที่ไม่ควรพลาด สำหรับคนรักอาหารอิตาเลียนอย่าง Peppina ต้นตำรับอาหารอิตาเลียนสไตล์นาโปลีแท้ๆ โดยเฉพาะ “พิซซ่า” เมนูดังของร้าน ที่หากใครได้ลิ้มลองครั้งหนึ่ง จะต้องอยากกลับมาทานซ้ำอีกแน่นอน
ลูกหล้าไม่รอช้า ขอโกอินเตอร์ไปกับเมนูแรกใน Pizza Quattro Pomodori (480 บาท) พิถีพิถันตั้งแต่แป้งโดคุณภาพเยี่ยม เพื่อให้ได้พิซซ่าแป้งบางที่คงเนื้อสัมผัสเหนียวนุ่มขอบโป่งฟู หอมกรุ่นกลิ่นเตาถ่าน แบ่งออกเป็น 4 หน้า 4 รสชาติจากมะเขือเทศหลากหลายรูปแบบ ทั้ง Piennolo Giallo, Pomodori Pelati,Peppina และ Piennolo Tomatoes หน้าพิเศษที่แปลกใหม่ด้วยเนื้อสัมผัสหนุบหนับ เปรี้ยวอมหวานจากมะเขือเทศเชอร์รีอบแห้งดอยคำ
ต่อด้วยพาสต้ารูปร่างพิเศษในเมนู Ravioli Ripieni Pesto Con Pomodorini Secchi (420 บาท) โดดเด่นด้วยรสชาติของไส้ ที่คิดค้นส่วนผสมมาเป็นอย่างดี ทั้ง Ricotta, Pecorina Romano, Parmesan Cream, Pine Nut, Basil Italin, Big Garlic,Virgin Olive Oil,Black Pepper เพิ่มเนื้อสัมผัสจากมะเขือเทศเชอร์รีอบแห้งที่หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ เคี้ยวเพลินยิ่งขึ้นในทุกคำ
ปิดท้ายด้วยเมนูของหวานที่น่ารับประทานเกินห้ามใจ กับ Tortino AI Mascarpone Con Composta Di Pomodori (240 บาท) หรือ Doikham Tomato Tarte ที่ตัวทาร์ตทำจากแป้งพาสต้าผสมกับเนยจืด น้ำตาลไอซิ่งและไข่ ตัวขนมเต็มรสมะเขือเทศด้วยส่วนผสมจากน้ำมะเขือเทศ ๙๙% และมะเขือเทศเชอร์รีอบแห้ง Topping ด้วย Brown Sugar, Mint Leave, Lemon และ Red Wine พิเศษยิ่งขึ้นด้วยซอสที่ทำจากน้ำมะเขือเทศผสมน้ำผลไม้รวม ๙๘% ม็อกเทล จัดเป็นของหวานที่ใครๆ ก็ต้องตกหลุมรัก
Peppina ซอยสุขุมวิท 33
โทร. 02-119-7677
เปิดทุกวัน เวลา 10.00-21.00 น.
ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2564 – 31 มกราคม 2565 เท่านั้น
ไปฟินต่อกับความหลากหลายของเมล็ดกาแฟคุณภาพเยี่ยมและบรรยากาศของร้านกาแฟสาย Specialty Coffee สะท้อนตัวตนของผู้ดื่มได้เป็นอย่างดี ที่ Red Diamond ในคอนเซ็ปต์การตกแต่งเท่ๆ ด้วยสีโทนเข้มและวัสดุผสมผสานทั้งเหล็ก ไม้ หนัง และปูนเปลือย ให้ความรู้สึกน่าค้นหา พร้อมได้ประสบการณ์ดีๆ ไปกับเหล่าบาริสต้าฝีมือดี
เริ่มความพิเศษจากเครื่องดื่มแก้วแรก Teamato Shakerato (150 บาท) เป็นชาเอิร์ลเกรย์ที่อินฟิวส์กับมะเขือเทศเชอร์รีอบแห้ง ดื่มความหอมลุ่มลึกจากชาและการดึงรสชาติหวานอมเปรี้ยวจากมะเขือเทศ ผสมผสานลงตัวเป็นอย่างดี เสิร์ฟพร้อมมะเขือเทศเชอร์รีอบแห้ง ให้ดิปกับน้ำมะเขือเทศผสมน้ำผลไม้รวม ๙๘% ม็อกเทล เพื่อเพิ่มเนื้อสัมผัสเคี้ยวสนุกและรสหอมหวานยิ่งขึ้น
ต่อด้วย Bloody Number 7 (150 บาท) แรงบันดาลใจจาก Bloody Mary ส่วนผสมหลักเป็นน้ำมะเขือเทศผสมน้ำผลไม้รวม ๙๘% ม็อกเทล เพิ่มรสหอมหวานด้วยน้ำสตรอว์เบอรีเข้มข้น ไซรัปเลมอนโฮมเมด รสเผ็ดร้อนจากทาบาสโก้ และความหอมเย็นจากใบมินต์ รวมตัวกันเป็นความสดชื่นสไตล์ม็อกเทล และยังสามารถสั่ง Espresso Shot เพิ่มได้ในราคาชอตละ 70 บาทอีกด้วย
Red Diamond ชั้น 7 Central World
เปิดทุกวัน เวลา 11.00-20.00 น.
ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2564 – 31 มกราคม 2565 เท่านั้น
แค่ได้กลิ่นชีสหอมๆ จากร้าน Spaghetti Factory ก็กระตุ้นต่อมหิวได้เป็นอย่างดี เพราะร้านนี้มีเมนูเส้นทีเด็ดสำหรับคนรักสปาเก็ตตี้และชีส ให้คุณได้ประทับใจไปกับทุกเมนู รวมถึงการเลือกตกแต่งผนังของร้านในสไตล์อินดัสเทรียล ให้ความรู้สึกของการเสิร์ฟจานโปรดส่งตรงจากโรงงานผลิตเส้นพาสต้า ผสมผสานด้วยสีสันของธรรมชาติอย่างไม้ประดับสีเขียวสดชื่น กับโต้ะไม้ที่ยังคงความอบอุ่น
เปิดจานแรกแบบจัดจ้านกันก่อน ด้วยเมนู Spaghetti with Seafood & Napoli Doikham Tomato Sauce (250++ บาท) สปาเกตตี้เส้นสดกับซีฟู้ดแน่นๆ ผัดกับซอสนาโปลีสูตรพิเศษที่ทางร้านสร้างสรรค์ให้มีซอสมะเขือเทศดอยคำเป็นส่วนผสม ได้รสเข้มข้นกลมกล่อมจนไม่อยากวางมือ
หากใครคลั่งไคล้ความครีมมี่ ต้องสั่งเมนู Cream Sauce Reginette with Doikham Dried Cherry Tomatoes and Smoked Bacon (250++ บาท) จัดเต็มในความหอมมันของซอสครีมสูตรเฉพาะของร้านที่คลุกเคล้ามาจนชุ่มฉ่ำกับเส้นเรจิเนเต้ เพิ่มรสเค็มและความกรุบกรอบจากเบคอน ตัดด้วยรสเปรี้ยวอมหวานจากมะเขือเทศเชอร์รีอบแห้งดอยคำ ได้เนื้อสัมผัสหลากหลาย อร่อยลงตัว
Spaghetti Factory ชั้น 6 Central World
เปิดทุกวัน เวลา 11.00-22.00 น.
ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2564 – 31 มกราคม 2565 เท่านั้น
พาคุณเปิดโลกวีแกนไปด้วยกัน ที่ Veganerie กับเมนูสายพืชล้วนๆ เข้าถึงใจคนรุ่นใหม่ ใส่ใจทั้งสุขภาพและสิ่งแวดล้อม สำหรับคนที่คิดว่าอาหารที่ไม่มีเนื้อสัตว์ = ไม่อร่อย ทางร้านพร้อมทลายทุกความเชื่อนั้น เพราะเมนูที่สร้างสรรค์โดย Veganerie ไม่ว่าจะเป็นอาหารไทยหรือสไตล์ตะวันตก ก็อร่อยจนต้องร้องว้าว
จานแรก ขอแนะนำซุปคลีนๆ อย่าง Tomato Soup & Vegan Grilled Cheese Sandwiches (165 บาท) ซุปอุ่นๆ รสชาตินุ่มนวล ทานง่าย จากวัตถุดิบหลักน้ำมะเขือเทศ ๑๐๐% โดยทางร้านเลือกปรุงรสน้อยที่สุด เพื่อนำเสนอรสชาติของมะเขือเทศคั้นสด คัดสรรผลผลิตต้นฤดูกาล เสิร์ฟพร้อมแซนวิชชีสวีแกน เป็นเมนูอิ่มๆ แต่สบายท้องเป็นที่สุด
เพิ่มไฟเบอร์และสารต้านอนุมูลอิสระกันอีกเน้นๆ กับเมนู Antioxidant Bowl (225 บาท) สลัดเคลย์จานโตคลุกเคล้าน้ำสลัดบัลซามิก บีทรูทย่าง วอลนัท และเมล็ดฟักทอง ทานคู่กับเพสโต้สูตรพิเศษ คัดสรรเฉพาะวัตถุดิบที่ดีต่อสุขภาพ อย่างน้ำมะเขือเทศ ๑๐๐% ปั่นผสมกับอัลมอนด์ จากนั้น เติมมะเขือเทศเชอร์รีอบแห้งอีกนิดให้พอมีรสเปรี้ยวอมหวาน ทานแล้วไม่มีเบื่อ
Veganerie Concept – สุขุมวิทซอย 24 หลังสวนเบญจสิริ
เปิดทุกวัน เวลา 11.00-22.00 น.
ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2564 – 31 มกราคม 2565 เท่านั้น